มะเร็งต่อมน้ำเหลือง

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma) เป็นโรคมะเร็งที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์เม็ดเลือดขาวในระบบน้ำเหลือง ซึ่งมีหน้าที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อและกำจัดของเสียในร่างกาย มะเร็งชนิดนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ

1.ฮอดจ์กินลิมโฟมา (Hodgkin Lymphoma)

2.นอน-ฮอดจ์กินลิมโฟมา (Non-Hodgkin Lymphoma)

อาการของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

ต่อมน้ำเหลืองโต: มักพบที่คอ รักแร้ หรือขาหนีบ โดยไม่มีอาการเจ็บ

ไข้: มีไข้ต่ำ ๆ หรือไข้สูงเป็นระยะ

เหงื่อออกตอนกลางคืน: โดยเฉพาะช่วงนอนหลับ

น้ำหนักลด: โดยไม่มีสาเหตุชัดเจน

อ่อนเพลีย: รู้สึกเหนื่อยง่ายผิดปกติ

คันตามร่างกาย: โดยไม่มีสาเหตุชัดเจน

อาการอื่น ๆ: เช่น ไอ หายใจลำบาก หรือปวดท้อง (หากมะเร็งกระจายไปยังอวัยวะอื่น)

วิธีการรักษา

การรักษาขึ้นอยู่กับประเภทและระยะของมะเร็ง รวมถึงสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย

  1. เคมีบำบัด (Chemotherapy): ใช้ยาเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง
  2. การฉายรังสี (Radiation Therapy): ใช้รังสีเพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งในบริเวณเฉพาะ
  3. การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell Transplant): ใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากผู้ป่วยเองหรือผู้บริจาคเพื่อสร้างเซลล์เม็ดเลือดใหม่
  4. การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy): ใช้ยาเพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง
  5. ยามุ่งเป้า (Targeted Therapy): ใช้ยาเฉพาะที่กำหนดเป้าหมายไปยังโปรตีนหรือยีนที่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง

คำแนะนำเพิ่มเติม

หากมีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัย

การตรวจพบในระยะเริ่มต้นมีโอกาสรักษาหายสูง

แม้ว่า มะเร็งต่อมน้ำเหลือง จะไม่มีวิธีป้องกันที่แน่นอน เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงบางอย่าง เช่น พันธุกรรม หรือระบบภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ อาจอยู่นอกเหนือการควบคุม แต่สามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการดูแลสุขภาพดังนี้:

วิธีป้องกันมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

  1. รักษาระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช และโปรตีน พักผ่อนให้เพียงพอ (7-9 ชั่วโมงต่อวัน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็ว โยคะ หรือว่ายน้ำ

  1. หลีกเลี่ยงสารก่อมะเร็ง

หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมี เช่น ยาฆ่าแมลง และสารพิษในอุตสาหกรรม งดสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงควันบุหรี่

  1. ลดการติดเชื้อเรื้อรัง

ป้องกันการติดเชื้อไวรัส เช่น ไวรัส Epstein-Barr (EBV) และไวรัส HIV ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสที่จำเป็น เช่น วัคซีนตับอักเสบบี

  1. จัดการความเครียด

ฝึกสมาธิ หรือทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น ฟังเพลง หรือทำงานอดิเรก หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียดเรื้อรัง

  1. ตรวจสุขภาพเป็นประจำ

ตรวจร่างกายประจำปี โดยเฉพาะหากมีประวัติครอบครัวที่เคยป่วยเป็นมะเร็ง หากมีอาการผิดปกติ เช่น ต่อมน้ำเหลืองโต หรือไข้เรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์ทันที

คำแนะนำเพิ่มเติม

แม้ว่าการป้องกันทั้งหมดอาจไม่สามารถกำจัดความเสี่ยงได้ 100% แต่การมีวิถีชีวิตที่ดีจะช่วยลดโอกาสการเกิดโรค และส่งเสริมสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรงมากขึ้นครับ!

สอบถามข้อมูลสุขภาพได้ที่นี่ >>>

Loading